UFABETWIN “แฮร์รี ฮาฟท์” : นักมวยแห่งคุกนาซีที่ใช้หมัดสู้เพื่อเอาตัวรอดจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

Posted on กันยายน 12, 2022Categories ข่าวกีฬา

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้คนจำนวนมากที่ถูกจับเข้าไปอยู่ในค่ายกักกันของนาซีต่างต้องสู้อย่างหนักเพื่อเอาชีวิตรอด แต่สำหรับ แฮร์รี ฮาฟท์ คำว่า “สู้” ของเขานั้นมีความหมายตรงตามตัวอักษร

เขาถูกจองจำตั้งแต่วัยรุ่น และถูกบังคับให้สู้กับเพื่อนผู้ถูกกักกันเพื่อความบันเทิงของผู้คุม และความพ่ายแพ้ก็อาจจะมีความหมายถึงชีวิต

นี่คือเรื่องราวของนักมวยแห่งเอาชวิทซ์ เจ้าของฉายา ที่ใช้กำปั้นเป็นเครื่องมือในการเอาตัวรอดจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ นักสู้ชาวยิว

ชีวิตของ แฮร์รี หรือ เฮอร์เชล ฮาฟท์ นั้นเรียกได้ว่าต้องดิ้นรนมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเขาคือลูกคนสุดท้องจากพี่น้อง 8 คนของครอบครัวชาวยิวในเมืองเบลชาตอฟ ประเทศโปแลนด์ ที่เติบโตขึ้นมาจากแม่เลี้ยงเดี่ยว หลังพ่อของเขาจากโลกไปตั้งแต่แฮร์รี อายุเพียง 3 ขวบ

นอกจากนี้ เขายังเผชิญกับการถูกกลั่นแกล้งและเลือกปฏิบัติ เพราะแม้เมืองเบลชาตอฟที่เขาอาศัยอยู่จะมีประชากรชาวยิวเกือบครึ่ง แต่ในตอนนั้นกระแสต่อต้านยิวก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมือง

อลัน สกอตต์ ฮาฟท์ ลูกชายของแฮร์รีบอกว่า พ่อของเขาเล่าว่า ครูที่โรงเรียนมักจะเอ่ยปากชมนักเรียนชาวคริสต์อย่างออกหน้าออกตา กลับกันหากเป็นเด็กชาวยิวพวกเขาจะถูกทุบตีหากทำผิดเพียงเล็กน้อย

เช่นเดียวชีวิตนอกรั้วโรงเรียน เมื่อชาวยิวมักจะถูกทำร้ายจากคนที่ไม่ใช่ยิวอยู่เสมอ เนื่องมาจากคำสอนที่บอกให้เกลียดยิวที่ซึมซับมาจากโบสถ์หรือครอบครัว และมันก็ได้หล่อหลอมให้แฮร์รีกลายเป็นนักสู้

“มันมีแก๊งที่คอยทำร้ายเด็กชาวยิว” อลัน บรรยายในหนังสือชื่อ

“แฮร์รีเข้าใจตั้งแต่เด็กว่าเขาจำเป็นต้องสู้และมีชื่อเสียงในฐานะนักสู้ ดังนั้น เขาจึงไม่ได้เป็นเหยื่อของพวกนั้น”

อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นไม่นาน สิ่งที่โหดร้ายกว่านั้นก็ค่อยๆคืบคลานมาหาแฮร์รีและชาวยิวในเมือง เมื่อในวันที่ 5 ตุลาคม 1939 หรือไม่กี่สัปดาห์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เปิดฉากขึ้น เบลชาตอฟก็ถูกยึดครองจากนาซีเยอรมัน

ก่อนที่นั่นจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้าย

ถูกจับเพราะไปช่วยพี่ชาย

อันที่จริงก่อนที่นาซีเยอรมันจะเข้ามา เบลชาตอฟก็มีกลุ่มชาติพันธุ์เยอรมันที่พูดภาษาเยอรมันอาศัยอยู่บ้างแล้ว ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็ต่างยินดีกับการมาถึงของเจ้านายคนใหม่

ตรงกันข้ามกับชาวยิวที่ชีวิตของพวกเขาต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะไม่ใช่แค่ถูกจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังถูกบังคับให้ใช้แรงงานไปจนถึงบังคับให้มาอยู่รวมกันในชุมชนแออัดที่สร้างขึ้นมาใหม่

“ชาวยิวถูกเลือกจากท้องถนนอย่างเป็นระบบเพื่อไปใช้แรงงาน พวกเขาได้รับอนุญาตให้เดินกลางถนนเท่านั้น ขณะที่โบสถ์ของชาวยิวก็ถูกทำลาย” อลัน บรรยายในหนังสือ

“ชาวยิวทุกคนต้องสวมชุดดาวสีเหลืองของดาวิด ธนาคารของชาวยิวก็ถูกระงับ พวกเขายังถูกห้ามเดินทางและจำกัดเวลาออกจากบ้าน”

สำหรับแฮร์รีและครอบครัว ในช่วงแรกพวกเขายังเอาตัวรอดไปได้ หลังดำรงชีวิตด้วยการลักลอบขนของเถื่อนที่ทำให้พวกเขายังพอมีรายได้ และพวกเขาก็ไม่ลืมที่จะเจียดเงินเหล่านั้นมาช่วยเหลือเพื่อนชาวยิวในชุมชนแออัด

ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งปี 1941 ก็มีประกาศจากเมืองให้ชายชาวยิวต้องไปลงทะเบียนกับตำรวจในท้องที่ อาเรีย พี่ชายแฮร์รีคิดว่ามันอาจจะทำให้เขาได้งานที่สุจริตทำจึงตัดสินใจไปลงชื่อกับทางการ

แต่ผ่านไปหลายชั่วโมง อาเรียก็ยังไม่กลับมา แฮร์รีที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ลงทะเบียนจึงอาสาออกไปตามหา และพบว่าพี่ชายของเขารวมถึงชาวยิวคนอื่นถูกขังรวมอยู่ในสถานีดับเพลิง

แฮร์รีตัดสินใจใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อจากเจ้าหน้าที่เพื่อให้อาเรียพี่ชายแอบหนีออกมา ทว่ามันก็ทำให้เขาถูกจับเข้าไปอยู่ในสถานีดับเพลิงแทน

และมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตอันโหดร้ายในค่ายกักกันของแฮร์รี เริ่มจากการถูกส่งไปใช้แรงงานที่ค่ายพอซนาน ทางตะวันตกของโปแลนด์ ก่อนจะถูกย้ายไปที่ค่ายกักกันใกล้เมืองลอดซ์ สถานที่ที่ผู้คุมเรียกว่า “สุสาน”

“จากตรงนั้นเราก็ถูกส่งไปยังเอาชวิทซ์” แฮร์รี
และมันก็เป็นสถานที่ที่แฮร์รีต้อง “สู้ ” เพื่อเอาชีวิตรอด

สร้างความบันเทิงให้ผู้คุม

แฮร์รีอยู่ที่ค่ายเอาชวิทซ์ได้ไม่นานก็ถูกส่งไปยังค่ายแรงงานที่เมืองจาวอซซา ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆค่ายสาขาของเอาชวิทซ์ ที่นั่นเขาถูกบังคับให้ทำงานหนักในเหมืองถ่านหินด้วยมือเปล่าโดยปราศจากเครื่องป้องกัน

แต่มันก็ทำให้แฮร์รีได้พบกับ เดียตริช ชไนเดอร์ นายทหารระดับสูงจากหน่วย SS หรือ ชุทซ์ชตัฟเฟิล ซึ่งเป็นหน่วยพิฆาตของนาซี ซึ่งเขาดูจะถูกใจแฮร์รีมากจึงให้การช่วยเหลือแฮร์รีอย่างลับๆ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่า แฮร์รีจะต้องทำงานให้เขา

ในตอนแรก แฮร์รีคิดว่าชไนเดอร์เป็นคนมีน้ำใจ เพราะไม่เพียงแต่จะย้ายเขามาอยู่ในส่วนงานที่ไม่ต้องออกแรงมากนัก ยังเพิ่มปริมาณอาหารในแต่ละวันให้แฮร์รีเป็นพิเศษ

ทว่าสุดท้าย งานที่ชไนเดอร์ให้ทำ ก็ทำให้แฮร์รีรู้ตัวว่า เขาคิดผิดมาตลอด

 

UFABETWIN

 

“ตอนนี้แกตัวโตและเป็นยิวผู้แข็งแกร่งแล้ว เพื่อนเอ๋ย ฉันอยากให้แกเป็นผู้สร้างความบันเทิง” ชไนเดอร์บอกกับแฮร์รี

“แกกำลังจะไปให้ความบันเทิงแก่เพื่อนของฉัน รวมถึงเจ้าหน้าที่และทหารคนอื่น”

งานของแฮร์รีก็คือ ทุกวันอาทิตย์ เขาจะต้องขึ้นสังเวียนชกมวยกับเพื่อนชาวยิวในค่ายกักกันต่อหน้าผู้คุมด้วยหมัดที่มีเพียงถุงมือหนังห่อหุ้ม และการแข่งขันจะจบลงก็ต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมแพ้หรือแข่งต่อไม่ไหว

ชไนเดอร์บอกว่า คนที่จะมาสู้กับแฮร์รีล้วนเป็นอาสาสมัคร แต่ทันทีที่เขาเห็นคู่ต่อสู้คนแรกก็ทำให้รู้สึกเสียดายที่ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าชไนเดอร์เป็นคนดี

“คู่ต่อสู้คนแรกเข้ามาในเวที แฮร์รีรู้สึกช็อกกับร่างกายของเขา เขาดูเหมือนคนที่ตายไปแล้วครึ่งหนึ่งที่มีเพียงหนังหุ้มกระดูก มันชัดเจนสำหรับเขาในตอนนั้นว่าไม่มีอะไรยุติธรรมสำหรับไฟต์นี้” อลัน บรรยายในหนังสือ

“ตอนนั้นแฮร์รีอายุ 18 เขาตัวใหญ่และแข็งแกร่ง ชไนเดอร์ให้อาหารเขาอย่างดี เขาไม่ต้องทำงานหนักและถูกทรมาน แฮร์รีมองไปทั่วเวทีและเห็นความกลัวปรากฏอยู่บนใบหน้าของผู้ท้าชิง เขารู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้อาสาขึ้นมา”

“แฮร์รีจำคำพูดของชไนเดอร์ได้ว่าการต่อสู้จะจบลงอย่างไร ซึ่งก็คือ เมื่อคนใดสู้ต่อไม่ไหว และตอนนี้เขาก็เข้าใจความหมายแล้ว”

และมันก็ทำให้แฮร์รีต้องเดินหน้าเท่านั้น

นักสู้ไร้พ่ายแห่งค่ายกักกันนาซี

ในวันแรก แฮร์รีต้องชกกับคู่ต่อสู้ถึง 5 คน และเขาก็เอาชนะไปได้อย่างไม่ยากเย็น ท่ามกลางเสียงหัวเราะและความสะใจของผู้คุม เช่นเดียวกับชไนเดอร์ที่นั่งอยู่บนแท่นขนาดใหญ่ราวกับกำลังชมสวนสัตว์มนุษย์

เขารู้ดีว่าเขาจำเป็นต้องสู้เท่านั้นเพื่อความอยู่รอด และความพ่ายแพ้ก็อาจมีความหมายถึงความตาย เพราะเขาไม่เคยเห็นคู่ต่อสู้ของเขาอีกเป็นครั้งที่ 2 หลังจากสิ้นสุดการชกในแต่ละไฟต์

“สมัยเด็ก ผมเคยฝึกต่อยมวยที่โรงเรียนจึงแข็งแรงมาก แต่ที่จาวอร์ซโน เมื่อการต่อสู้จบลง ผู้แพ้จะถูกพาไปโรงพยาบาล และถ้าเขาไม่ดีขึ้น หลังจากนั้นไม่กี่วันเขาจะถูกส่งไปที่เอาชวิทซ์” แฮร์รี

เขาเดินหน้าไล่ปราบผู้ท้าชิงอย่างไม่หยุดหย่อน เขามีผลงานที่โดดเด่นด้วยสถิติชนะรวดทั้ง 76 ไฟต์ จนทำให้เขาได้รับฉายาจากเหล่าผู้คุมว่า ซึ่งเขาเองก็ไม่เคยรู้สึกภูมิใจกับฉายานี้

“พวกเขาไม่ได้เคารพผมหรอก เราเป็นแค่ผู้รอดชีวิตที่สร้างความบันเทิงให้แก่พวกเขา” แฮร์รี อธิบาย

นอกจากนี้ เขายังรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องต่อสู้กับคนรู้จัก เพราะหลายคนคือคนที่อยู่แถวบ้าน และชัยชนะของแฮร์รีก็เหมือนเป็นการส่งพวกเขาไปตาย

“ตลอด 76 ไฟต์ เขาต้องรู้จักพวกนั้นบ้างอยู่แล้ว” อลัน

“เพราะว่าตอนที่พวกเขา (นาซี) รวบรวมคนมา พวกเขาก็เอาคนมาจากบ้านเกิดของเรา”

แฮร์รีเล่าว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยเผชิญกับคู่ชกที่สมน้ำสมเนื้อ นั่นก็คืออดีตแชมป์เฮฟวีเวตของฝรั่งเศส ที่ถูกเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจากผู้คุมเหมือนกับเขา ซึ่งการชกนั้นเป็นไปอย่างดุเดือด และทำให้แฮร์รีมีแผลแตกเลือดเต็มหน้า แต่เขาก็ยังฮึดสู้ก่อนที่จะน็อกผู้ท้าชิงได้สำเร็จ

และหลังจากที่ผู้คุมพาตัวนักชกชาวฝรั่งเศสคนนั้นออกไป เขาก็ได้ยินเสียงปืน 2 นัด และไม่เคยเห็นคู่ชกคนนี้ของเขาอีกเลย

สู่อิสรภาพ

หลังจากใช้ชีวิตอยู่ราว 5 ปีในค่ายกักกัน ต้นปี 1945 แฮร์รีและเพื่อนๆก็ต้องอพยพอีกครั้ง หลังกองกำลังของโซเวียตเคลื่อนพลมาใกล้ค่ายเอาชวิทซ์ จนทำให้นาซีต้องเร่งอพยพคนออกจากที่นี่ พร้อมกับทำลายสิ่งก่อสร้างเพื่อปกปิดอาชญากรรมและความเลวร้ายที่เกิดขึ้น

มันคือสิ่งที่ภายหลังเรียกกันว่า หรือการให้ผู้คนเดินแถวจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งในระยะทางที่ค่อนข้างไกลโดยไร้อาหาร และแฮร์รีก็คือหนึ่งในนั้น

“ผู้คนกว่า 12,000 คนเดินขบวนไปยังโกรสโรเซน และมีแค่ 190 คนที่รอดชีวิต หลังเดินอยู่เป็นสัปดาห์” แฮร์รี

 

UFABETWIN

 

อย่างไรก็ดี หลังมาถึงค่ายที่ฟรอซเซนเบิร์ก พวกเขาก็พบว่ากองกำลังสหรัฐฯ กำลังบุกเข้ามา ทำให้ต้องมีการอพยพอีกครั้ง และมันก็กลายเป็นโอกาสให้แฮร์รีตัดสินใจหลบหนี

“เราจะเป็นคนที่ตายไปแล้วถ้าเราไม่ออกจากที่นี่” แฮร์รี ย้อนความหลัง

เขาอาศัยช่วงเวลาที่ผู้คุมเผลอ ลอบฆ่าทหารเยอรมันที่กำลังอาบน้ำ แล้วเอาเครื่องแบบมาใส่เพื่อพรางตัว ก่อนจะหนีไปซ่อนตัวในบ้านคนในย่านชนบท และเขาจำเป็นต้องฆ่าชาวบ้านที่เห็นเขาเพื่อเอาตัวรอด

“พ่อฆ่าเจ้าหน้าที่เยอรมันเพื่อเครื่องแบบ และหลังจากนั้นเขาก็ฆ่าผู้คนอีกหลายคนที่ฟาร์มระหว่างทางหลบหนี พ่ออธิบายเรื่องนี้ทั้งหมดแบบคร่าวๆ” อลัน ลูกชายของ แฮร์รี
เขาย้ายจากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งเพื่อหลบหนีการจับกุม จนกระทั่งสงครามจบลงในช่วงกลางปี 1945 แฮร์รีก็ได้ย้ายมาอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย และได้ต่อยมวยอีกครั้งที่นั่น

เนื่องจากในปี 1947 ทหารอเมริกันได้จัดการแข่งขัน  ขึ้นที่มิวนิค และแฮร์รีก็ได้ลงชิงชัย ก่อนที่เขาจะปราบคู่ต่อสู้จนหมดและคว้าแชมป์รายการนี้ จนกลายเป็นคนดังของที่นั่น

แฮร์รีได้ใช้โอกาสนี้ยื่นคำร้องต่อ นายพลลูเซียส เคลย์ ผู้จัดการแข่งขัน ให้ช่วยพาเขาไปที่สหรัฐอเมริกา ก่อนที่ในปี 1948 เขาจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ในดินแดนแห่งเสรีภาพ พร้อมกับแต่งงานกับ มิเรียม หญิงชาวอเมริกัน

แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังหนีจากฝันร้ายในอดีตไม่พ้น ..

ความทรงจำที่หลอกหลอน

ชีวิตที่อเมริกาของแฮร์รีดูเหมือนจะไปได้สวย เมื่อเขายังคงใช้การต่อสู้เอาตัวรอดด้วยการเทิร์นโปรเป็นนักมวยอาชีพ และมีสถิติที่ไม่เลว ชนะ 14 จาก 22 ไฟต์ ตลอด 2 ปีบนเส้นทางสายนี้

เขายังมีโอกาสได้ชกกับ ร็อคกี้ มาร์เซียโน ที่ต่อมากลายเป็นแชมป์โลกรุ่นเฮฟวีเวต โดยแฮร์รีเป็นฝ่ายพ่ายน็อกในการชกที่โรดไอแลนด์ ในปี 1949 และกลายเป็นไฟต์สุดท้ายในชีวิตของเขา

อย่างไรก็ดี เขาอ้างว่าไฟต์ดังกล่าวเขาจำเป็นต้องยอมแพ้ เนื่องจากก่อนขึ้นชกมีอันธพาลหลายคนมาขู่เอาชีวิตเขาถึงห้องแต่งตัว หากเขายังดึงดันจะเอาชนะในไฟต์นี้

“ในยุคของผม มาเฟียคอยควบคุมการแข่งขันชกมวย และคุณต้องทำตามที่เขาบอก” แฮร์รี กล่าว

หลังจากเลิกต่อยมวย เขาก็ทำงานหลายอย่าง ทั้งเปิดร้ายขายผักและผลไม้ที่บรูคลิน นิวยอร์ก ไปจนถึงขับแท็กซี่เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว เขาบอกว่า “ภรรยาและลูก” คือความภาคภูมิใจในชีวิตของเขา

แต่ถึงอย่างนั้น ความโหดร้ายจากสงครามก็ยังตามหลอกหลอนแฮร์รีตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ เขามักจะตื่นเพราะฝันร้าย และเป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรง ไปจนถึงควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ซึ่งลูกและภรรยาของเขาเป็นคนที่ต้องรับเคราะห์

“ผมโตที่อเมริกาในช่วงทศวรรษ 1950s กับพ่อที่พูดภาษาอังกฤษได้ไม่มากนัก เขาไม่สามารถอ่านหรือเขียนได้เลย และเขายังเป็นคนที่ไม่น่าคุยด้วย เพราะเขาอาจจะระเบิดอารมณ์ได้ทุกเวลา” อลัน กล่าวถึงพ่อของเขา

“เขามีอาการทางจิตที่ลงเอยด้วยความรุนแรง ครั้งหนึ่งเขาพังหน้าต่างในบ้าน และผมก็ไม่สามารถขัดขวางอะไรได้เลย ไม่อย่างนั้นผมจะถูกทุบตี มันบ้ามากๆ”

ในตอนนั้น แฮร์รีไม่ได้บอกครอบครัวว่าเป็นเพราะอะไร และตัวเขาเองก็รู้สึกผิดที่ทำแบบนั้นไป แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็เริ่มปริปาก ค่อยๆเล่าเรื่องราวความโหดร้ายที่เขาประสบพบเจอในช่วงสงครามให้ลูกชายฟัง

สำหรับแฮร์รี เขาต้องการเพียงอย่างเดียวคือให้ลูกและครอบครัวเข้าใจว่าเพราะอะไรเขาจึงเป็นแบบนี้ มันไม่ได้เป็นสิ่งที่เขาเลือกและอยากเป็น มันเกิดจากฝันร้ายที่เขาอยากลืมแต่ลืมไม่ลง และแน่นอนว่า แฮร์รีไม่ใช่คนเดียวที่เป็นเช่นนี้ และมันคือภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่า สงครามไม่เคยให้คุณแก่ใคร เพราะไม่ว่าจะเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะต่างก็ชอกช้ำอยู่ดี

“ตอนที่เขา (แฮร์รี) ได้รับเลือกให้เข้าไปอยู่ในหอเกียรติยศที่พิพิธภัณฑ์กีฬาของชนชาติยิว เขาถูกถามว่า มีอะไรที่เขาเสียใจบ้างไหม?”

“เขามองไปที่หมัดของเขา หมัดยักษ์เหล่านี้มีข้อนิ้วที่หักอยู่ เขาบอกว่า ความเสียใจของเขาคือ ชีวิตของผู้คนที่ผ่านมือคู่นี้มา” อลัน ทิ้งท้าย

UFABETWIN

UFABETWIN คำสาปหรือคิดไปเอง : อาถรรพ์เบอร์ 9 ของเชลซี มีจริงหรือ?

Posted on สิงหาคม 25, 2022สิงหาคม 25, 2022Categories ข่าวกีฬา

เมื่อพูดถึงนักเตะหมายเลข 9 แฟนบอลทั่วโลกย่อมนึกถึงสุดยอดกองหน้าที่พาเหรดกันเข้ามาสร้างตำนานบนพื้นหญ้า ไล่ตั้งแต่ โรนัลโด้, อลัน เชียเรอร์, โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี ไปจนถึง กาเบรียล บาติสตูตา

แต่สำหรับนักเตะของสโมสรเชลซี เสื้อหมายเลข 9 คือฝันร้ายของพวกเขา เพราะเหล่านักเตะมีชื่อมากมายต่างฟอร์มตกอย่างไม่ทราบสาเหตุ จนนักเตะชุดปัจจุบันแห่งสแตมฟอร์ด บริดจ์ ปฏิเสธจะสวมหมายเลขดังกล่าวเพราะเชื่อว่ามันถูกสาป

จะพาไปย้อนรอยอาถรรพ์เบอร์ 9 ของเชลซีที่ดำเนินมายาวนานนับ 30 ปี กับเหตุผลแท้จริงที่บอกเราว่าเสื้อเบอร์นี้แค่ต้องคำสาปหรือมีอะไรที่มากกว่าซ่อนอยู่ในนั้น

ย้อนอาถรรพ์กองหน้าหมายเลข 9

เหตุผลที่อาถรรพ์ฟอร์มดับของศูนย์หน้าหมายเลข 9 แห่งสแตมฟอร์ด บริดจ์ โด่งดังจนเป็นที่เลื่องลือจนนักเตะในทีมยังเชื่อว่าเป็นคำสาป นั่นเพราะปรากฏการณ์ประหลาดที่อยู่ดี ๆ กองหน้าเชลซีหลายคนกลับฟอร์มตกอย่างไร้สาเหตุเพียงเพราะสวมเสื้อหมายเลข 9 และเราสามารถย้อนกลับไปได้ถึงปี 1992 หรือ 30 ปีก่อนที่ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกจะทำการแข่งขันเป็นฤดูกาลแรก

กองหน้าเชลซีคนแรกที่สวมเสื้อหมายเลข 9 ในยุคพรีเมียร์ลีกคือ โทนี่ คาสคาริโน่ กองหน้าทีมชาติไอร์แลนด์ที่พเนจรเล่นให้หลายสโมสรในอังกฤษและฝรั่งเศส โดยในช่วงปี 1992-94 เขาลงเล่นให้กับทัพสิงห์บลูส์และแน่นอนว่าเขาทำผลงานได้ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย เนื่องจากตลอดสองปีที่คาสคาริโน่เล่นให้กับเชลซี เจ้าตัวยิงให้ทีมได้เพียง 8 ประตูจากทุกรายการ

 

หลังจากนั้นอาถรรพ์หมายเลข 9 กลับมาร้อนแรงอีกครั้งในฤดูกาล 1999-2000 เมื่อเชลซีควักเงิน 10 ล้านปอนด์ซื้อตัว คริส ซัตตัน กองหน้าตัวเก่งของแบล็กเบิร์น โรเวอร์ส เข้ามาสู่ทีม ก่อนอดีตดาวยิงทีมชาติอังกฤษจะตอบแทนต้นสังกัดอย่างคุ้มค่าด้วยการยิงประตูในลีกไปเพียงลูกเดียว จนเชลซีทนไม่ไหวต้องโละซัตตันออกจากทีมให้กับกลาสโกว์ เซลติก ทันทีในฤดูกาลถัดมา

 

ความล้มเหลวของซัตตันหลังจากเล่นให้กับเชลซีเพียงปีเดียวถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระแส “หมายเลข 9 ฤดูกาลเดียว” ที่จะร้อนแรงในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ต่อไปอีกหลายปีนับจากนี้ เพราะไม่ว่ากองหน้าคนนั้นจะมีชื่อเสียงมากเพียงใด หากพวกเขาย้ายมาสวมเสื้อหมายเลข 9 ของเชลซีกลับมีอันต้องเล่นให้กับทีมเพียงปีเดียวและจะถูกเขี่ยทิ้งออกจากทีมอยู่ร่ำไป

นักเตะคนแรกที่เข้ามาสานต่อกระแสหมายเลข 9 ฤดูกาลเดียวต่อจากซัตตันคือ มาเตย่า เคซมัน ดาวยิงชาวเซอร์เบียที่ระเบิดไปมากกว่า 100 ประตูจากการเล่นตลอดสี่ปีให้กับทีมพีเอสวี ไอนด์โฮเฟน แต่หลังจากที่เขาย้ายมาสวมเสื้อหมายเลข 9 ให้กับเชลซีในปี 2004 เจ้าตัวยิงได้เพียง 4 ประตูจาก 25 นัด ก่อนถูกโละทิ้งให้แอตเลติโก มาดริด หลังจบฤดูกาล

 

เมื่อนักเตะรุ่นใหม่ฟอร์มแรงอย่างเคซมันตกเป็นเหยื่อของอาถรรพ์เรียบร้อย หมายเลข 9 แห่งสแตมฟอร์ด บริดจ์ จึงอ้าแขนรับกองหน้าระดับตำนานเข้ามาเป็นเหยื่อรายใหม่ เขาคือ เฮอร์นัน เครสโป กองหน้าชาวอาร์เจนตินาที่ประสบความสำเร็จมากมายในลีกอิตาลี ซึ่งเขาย้ายมาร่วมทัพสิงห์บลูตั้งแต่ปี 2003 แต่กลับปรับตัวบนแผ่นดินอังกฤษไม่ได้จนถูกปล่อยยืมตัวให้ทีมในลีกอิตาลีหลายครั้ง

โดยในฤดูกาล 2005-06 เครสโปกลับมาเล่นที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ และสวมเสื้อหมายเลข 9 ก่อนยิงให้ทีมมากถึง 13 ประตู แต่เนื่องจากปัญหานอกสนามอย่างที่กล่าวไป นี่จึงเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขากับเชลซี

 

UFABETWIN

 

หลังจากความล้มเหลวของสองกองหน้าชื่อดังทั้งเคซมันและเครสโป เส้นทางของนักเตะหมายเลข 9 แห่งสแตมฟอร์ด บริดจ์ ก็ชักเริ่มจะเละเทะ เพราะหลังจากนั้นอีกหลายปีกลับมีแต่นักเตะเกรดบีเข้ามาสวมเสื้อเบอร์ดังกล่าวให้กับเชลซี แถมบางคนไม่ใช่กองหน้าเสียด้วยซ้ำ ยกตัวอย่าง คาลิด บูลาห์รูซ ปราการหลังชาวดัตช์ที่เลือกใส่เบอร์ 9 จนเป็นข่าวฮือฮา หรือ สตีฟ ซิดเวลล์ ที่เล่นในตำแหน่งกองกลาง แต่ไม่ว่าจะเล่นตำแหน่งใดเหล่าผู้เล่นเบอร์ 9 มีอันต้องจบช่วงเวลาของตนกับเชลซีภายในปีเดียว

 

เมื่อ ฟรังโก ดิ ซานโต กองหน้าดาวรุ่งชาวอาร์เจนตินาย้ายมาล้มเหลวกับทีมในปี 2008 เบอร์ 9 ของเชลซีก็กลายเป็นหมายเลขว่างที่ไม่มีใครกล้าสวมใส่อยู่นาน จนกระทั่งการมาถึงของซูเปอร์สตาร์แห่งโลกลูกหนัง เฟร์นานโด ตอร์เรส ดาวยิงทีมชาติสเปนที่ประสบความสำเร็จมากมายในสีเสื้อลิเวอร์พูล ก่อนย้ายสู่ถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ด้วยค่าตัวประวัติศาสตร์เกาะอังกฤษ 50 ล้านปอนด์

ผลงานของอดีตดาวยิงหมายเลข 9 แห่งแอนฟิลด์ส่งผลให้แฟนบอลเชลซีหลายคนเชื่อมั่นว่าตอร์เรสคือบุคคลที่จะเข้ามาล้างคำสาปหมายเลข 9 แห่งสแตมฟอร์ด บริดจ์ ได้เสียที แต่โชคร้ายที่เรื่องราวดำเนินไปในทิศทางกลับตรงกันข้าม เพราะถึงแม้เจ้าตัวจะอยู่กับทีมนานเกินหนึ่งฤดูกาลและยังประสบความสำเร็จในฐานะแชมป์ยุโรปร่วมกับทีม ตอร์เรสก็ไม่เคยตอบแทนในระดับที่คุ้มค่ากับเงิน 50 ล้านปอนด์ และต้องใช้เวลานานถึง 903 นาทีกว่าเขาจะยิงประตูแรกให้กับทีมดังแห่งลอนดอน

 

 

บุคคลต่อไปที่เข้ามาสานต่อคำสาปหมายเลข 9 คือ ราดาเมล ฟัลเกา ดาวยิงชาวโคลัมเบียที่เพิ่งปืนฝืดกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลก่อนหน้า เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยถึงเรื่องผลงานของเขาในฤดูกาล 2015-16 เมื่อฟัลเการะเบิดสกอร์ให้กับเชลซีได้เพียงประตูเดียว

ส่วนความล้มเหลวของอีกหลายคนที่เหลือในช่วง 5 ปีหลังสุดยังคงชัดเจนในความทรงจำของแฟนบอลทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น อัลบาโร โมราต้า, กอนซาโล อิกวาอิน, แทมมี่ อับราฮัม และ โรเมลู ลูกากู ทั้งหมดล้วนล้มเหลวไม่เป็นท่าในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ไม่มีใครยิงเกิน 15 ประตูในหนึ่งฤดูกาล ซึ่งผลงาน 15 ประตูเป็นของอับราฮัมส่งผลให้เขาเป็นนักเตะเพียงคนเดียวในช่วงหลังที่สวมเบอร์ 9 เกินหนึ่งปี ส่วนที่เหลือไม่พ้นเข้าร่วมชมรมเดียวกับเคซมันและเครสโปในที่สุด

 

ความล้มเหลวของบรรดานักเตะหมายเลข 9 ของเชลซีแสดงเห็นมายาวนานตลอด 30 ปี จนเป็นที่ประจักษ์ถึงความเฮี้ยนของอาถรรพ์ที่เกิดขึ้น แต่คำถามที่หลายคนอาจข้องใจและต้องการจะหาคำตอบคือ อาถรรพ์ที่เกิดขึ้นกับหมายเลข 9 แห่งสแตมฟอร์ด บริดจ์ มีสาเหตุมาจากปัจจัยที่สามารถอธิบายได้หรือเป็นเพราะคำสาปเหนือธรรมชาติที่จ้องจะทำลายกองหน้าหลายรายให้หมดอนาคตไปกันแน่ ?

 

ก่อนอื่นคงต้องอธิบายให้ชัดเจนก่อนว่ามีนักเตะหมายเลข 9 หลายคนของเชลซีที่ประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพึงพอใจ ทั้ง จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ อดีตกองหน้าค่าตัวสถิติสโมสรที่ย้ายเข้าสู่ทีมเมื่อปี 2000 ก่อนยิงระเบิด 69 ประตูตลอด 4 ฤดูกาล และ จิอันลูก้า วิอัลลี่ กองหน้าเจ้าของผลงาน 40 ประตู ก่อนก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมเชลซีในปี 1999 ต่างเป็นดาวยิงหมายเลข 9 ที่ประสบความสำเร็จในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ทั้งสิ้น

แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตคือดาวยิงทั้งสองรายที่กล่าวมาต่างเป็นนักเตะเชลซีก่อนยุคของ โรมัน อบราโมวิช เศรษฐีชาวรัสเซียที่เข้ามาซื้อกิจการของทีมในปี 2003 ทั้งสิ้น ซึ่งผลงานของกองหน้าเบอร์ 9 ในยุคอบราโมวิชเรียกได้ว่าย่ำแย่กว่าช่วงเวลาก่อนหน้านั้นเป็นอย่างมาก

นับแค่ความจริงที่ เฟร์นานโด ตอร์เรส กลายเป็นคัลต์ฮีโร่ของแฟนเชลซี และเป็นกองหน้าเบอร์ 9 ที่ดีที่สุดของทีมเท่าที่แฟนรุ่นหลังจะจำความได้ เพียงเพราะเขายิงประตูชัยให้ทีมเอาชนะบาร์เซโลน่าตีตั๋วเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศและก้าวไปคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2012 ข้อเท็จจริงตรงนี้น่าจะยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า นักเตะหมายเลข 9 ของเชลซีในยุคอบราโมวิชมีผลงานที่ย่ำแย่เกินทนจริง ๆ

 

UFABETWIN

 

ทั้งหมดที่กล่าวมาจึงนำมาสู่คำถามที่ว่า “ทำไมนักเตะหมายเลข 9 ในยุคอับราโมวิชถึงล้มเหลวไม่เป็นท่า” ซึ่งถ้าคุณเป็นแฟนคลับเรื่องไสยศาสตร์ลี้ลับ บางทีการหาเรื่องราวคำสาปที่เศรษฐีรัสเซียต้องเผชิญอาจเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นกว่า แต่ความล้มเหลวของกองหน้าเชลซีในยุคอบราโมวิชสามารถหาหลักฐานที่ชัดเจนมายืนยันได้ว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับอาถรรพ์เหนือธรรมชาติเลย เพราะสาเหตุที่แท้จริงของปัญหานี้คือการซื้อตัวแบบไม่ดูตาม้าตาเรือของทีมเสียมากกว่า

 

เมื่อย้อนกลับไปดูรายชื่อของกองหน้าที่ล้มเหลวและเอาชื่อมาทิ้งในสแตมฟอร์ด บริดจ์ จะพบว่ามีนักเตะอีกหลายคนที่ไม่ได้สวมเสื้อหมายเลข 9 แต่ก็เอาตัวไม่รอดในทัพสิงห์บลู เริ่มต้นจาก อาเดรียน มูตู กองหน้าชาวโรมาเนียที่ไปไม่รอดตั้งแต่ต้นเพราะถูกจับในคดีโคเคน ตามมาด้วย อันเดร เชฟเชนโก้ แข้งระดับตำนานชาวยูเครนที่ย้ายเข้าสู่ทีมด้วยค่าตัวสถิติสโมสรกว่า 30 ล้านปอนด์ ก่อนตอบแทนเม็ดเงินนั้นด้วยการยิงได้เพียง 22 ประตู

ความจริงที่เกิดขึ้นคือเสื้อหมายเลข 9 ไม่ได้มีอาถรรพ์หรือต้องคำสาปอะไร แต่เป็นเพราะตลอด 20 ปีที่ผ่านมาเชลซีเลือกซื้อกองหน้าเข้ามาสู่ทีมโดยไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบหรือพิจารณาให้ถี่ถ้วน เราจึงได้เห็นปัญหาแปลก ๆ ที่ดูเหมือนจะอธิบายไม่ได้จนนึกว่าเป็นอาถรรพ์ เช่น เครสโปที่เล่นได้น่าพอใจแต่ก็ไม่ได้อยู่กับทีมต่อ หรือลูกากูที่ฟอร์มร่วงลงเหวทั้งที่เพิ่งร้อนแรงกับอินเตอร์ มิลาน

ทั้งที่ความจริงปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมามีสัญญาณแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีโอกาสเกิดขึ้น ทั้งความจริงที่เครสโปไม่มีใจจะเล่นฟุตบอลในอังกฤษตั้งแต่แรก หรือความล้มเหลวบนเวทีพรีเมียร์ลีกของลูกากูกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งหมดเป็นสัญญาณที่เตือนเชลซีแล้วว่าการคว้ากองหน้าเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะล้มเหลว แต่ด้วยเงินที่หนาแน่นในกระเป๋าและความไม่รอบคอบในการซื้อกองหน้าจนเคยชิน เจ้าของเสื้อหมายเลข 9 ในถิ่นเชลซีจึงล้มเหลวไปเสียทุกครั้ง

 

นอกจากเครสโปและลูกากูที่กล่าวมาแล้ว นักเตะหมายเลข 9 คนอื่นต่างมีสัญญาณว่าพวกเขามีโอกาสจะไม่ประสบความสำเร็จทั้งสิ้น ไล่ตั้งแต่ ฟัลเกา และ อิกวาอิน ที่ย้ายเข้าสู่ทีมเมื่อเลยจุดพีกในอาชีพของตัวเองมาแล้ว, อับราฮัม และ ดิ ซานโต คือเยาวชนที่ยังไม่พร้อมจะลงเล่นในระดับสูง, เคซมัน ไม่เคยมีประสบการณ์ในลีกใหญ่ของยุโรป และ โมราต้า ที่ไม่ได้เล่นเป็นตัวจริงต่อเนื่องให้กับเรอัล มาดริด ก่อนย้ายมาเชลซี

มีนักเตะเพียงรายเดียวเท่านั้นที่ล้มเหลวไม่เป็นท่าทั้งที่พิสูจน์ตัวเองมาแล้วทุกอย่าง นั่นคือ ตอร์เรส แต่นอกเหนือจากกองหน้าแก้มแดงชาวสเปน ความล้มเหลวของดาวยิงหมายเลข 9 รายอื่นไม่ใช่เรื่องที่เกินคาดเดาหรือจะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะแค่พิจารณาจากกรณีของโมราต้าหรือลูกากู การดึงกองหน้าที่เคยไปไม่รอดกับทีมชั้นนำในระดับเดียวกันมาใช้งานย่อมมีความเสี่ยงที่จะล้มเหลวอยู่ในตัวอยู่แล้ว

เมื่อบวกกับเป้าหมายของเชลซีในยุคอบราโมวิชที่ต้องมีความสำเร็จติดมือในทุกฤดูกาล การรอคอยให้นักเตะได้มีเวลาปรับตัวหรือพัฒนาตัวเองจึงไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย เรื่องนี้คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักเตะหมายเลข 9 ส่วนใหญ่มีเวลาในสีเสื้อเชลซีเพียงฤดูกาลเดียว เพราะสโมสรรวมถึงแฟนบอลไม่มีเวลามากพอให้กองหน้าเหล่านี้ที่สอบไม่ผ่านในปีแรกได้มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองเป็นครั้งที่สอง

 

ความจริงตรงนี้ไม่เพียงทำให้เวลาที่ควรจะได้ปรับตัวของนักเตะเชลซีน้อยกว่าทีมอื่น และทำให้หลายครั้งนักเตะเหล่านี้ถูกกดดันจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ส่งผลให้ฟอร์มที่แย่อยู่แล้วยิ่งแย่เข้าไปกันใหญ่ หากยังจำกันได้ทั้ง ตอร์เรส และ โมราต้า ต่างเคยลงเล่นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกดดัน เนื่องจากความคาดหวังในฐานะกองหน้าตัวหลักที่ต้องยิงเป็นกอบเป็นกำให้เชลซีตั้งแต่แรกมันหนักหนาเกินไป

นี่คือข้อสรุปที่แสดงให้เห็นชัดว่าอาถรรพ์เสื้อหมายเลข 9 ของเชลซีไม่ได้เกิดขึ้นจากคำสาปของพ่อมดคนไหน แต่มันเป็นเพราะวัฒนธรรมของสโมสรที่ไม่มีพื้นที่ว่างให้กับนักเตะที่ไม่สามารถประสบความสำเร็จกับทีมได้ทันที บวกกับนิสัยชอบหว่านซื้อกองหน้าหลายรายแทนที่จะอดทนรอเพื่อทุ่มซื้อของดีเพียงตัวเดียวเน้น ๆ (เช่น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือ บาเยิร์น มิวนิค) ก็เป็นเรื่องง่ายที่ดาวยิงหลายคนจะล้มเหลวจนนำมาสู่อาถรรพ์เสื้อหมายเลข 9 อย่างที่เห็นในปัจจุบัน

UFABETWIN